Skip to main content

Posts

Showing posts from September, 2012

เดคูพาจกับกระเป๋ากล้อง

ช่วงนี้ เราค่อนข้างว่างเลยอัพบล็อกบ่อย ก่อนที่จะหายไป แล้วกลับมาอัพอีกทีปีหน้า ฮ่าๆๆๆ       จากที่เกริ่นไว้ในบทความก่อนเรื่องกระเป๋ากล้องที่เราลงทุนซื้อใหม่เพื่อทำเดคูพาจ ความจริงก็ไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้น เราแค่อยากได้กระเป๋ากล้องใบเล็กๆ เนื่องจากใบเก่ามันใหญ่เกะกะ แล้วเรามีแค่เลนส์คิทจะใช้ใบใหญ่ทำไม ถ้าบอกว่าซื้อเผื่ออนาคต เดี๋ยวเลนส์งอก ก็ตัดเรื่องนี้ไปได้เลย เพราะเราพอใจกับเลนส์คิทที่มีมากๆ มันพอแล้วจริงๆ แม้จะเหล่ๆ เลนส์มาโครบ้างก็เถอะ อ้าว!!       กลับมาที่กระเป๋ากล้อง เราตัดสินใจนานมากกว่าจะซื้อกระเป๋าใบนี้ เดินวนอยู่หลายรอบ เพราะเลือกไม่ถูก แต่พอได้กลับมาแล้ว สังเกตเห็นแถบสีขาวที่กระเป๋า เราก็คิดว่าพื้นผิวแบบนี้มันน่าจะทำเดคูพาจได้นะ และสิ่งที่ฉันคิดก็เป็นจริงเมื่อฉันลงมือทำ ฮ่าๆๆๆ และตอนนี้ฉันเบื่อลายเก่าแล้วหละ นี่เป็นข้อดีของเดคูพาจนะ คือถ้าเบื่อก็ลอกแล้วแปะลายใหม่       แต่หลักจากที่แปะลายใหม่ และเคลือบเสร็จเพิ่งนึกได้ว่ามีกระดาษสีม่วงพื้นๆ ของลายอื่นนี่หว่า และลายที่แปะนี่ไม่ได้เข้ากันเล้ย รูปข้างล่างนี่ต้องต่อลาย เพราะกระดาษที่ใช้เป็นเศษที่เหลือจากการทำงานชิ

เดคูพาจ (Decoupage)

    ช่วงนี้กำลังเห่องานเดคูพาจ (บ้างก็เขียนว่าเดโคพาจ เดคโคพาจ นะ) เราเห็นคนอื่นทำ แล้วอยากลองทำบ้าง ไม่ได้ทำขายอะไรนะ ส่วนใหญ่ทำใช้เอง ทำให้เพื่อนบ้างบางโอกาส สนุกดี     ตอนที่สนใจเดคูพาจใหม่ๆ เราสั่งของผ่านทางเว็บไซต์ตลอดเลย โดยเฉพาะ Facebook มีให้เลือกหลายร้านมากๆ เพราะเราไม่สะดวกไปจตุจักร เนื่องจากไกลบ้าน และไม่คุ้มค่ารถ      วันหนึ่งมีโอกาสไปเดินสำเพ็ง-พาหุรัด ก็เจอร้านๆ นึง เราเคยซื้อของร้านนี้ตั้งแต่ขายเทียนเจล สีเพ้นท์แก้ว/กระจก ขวดโหล จนมาถึงวันนี้ที่ร้านนี้มีขายทั้งน้ำยา กาว กระดาษ ตะกร้า กระเป๋าสาน ล่าสุดที่ไปมีกระเป๋าสตางค์แบบยาว  และอื่นๆ อีกมากมาย น่ารักน่าสนใจล่อเงินในกระเป๋าอีกแล้ว     ฉะนั้น วันนี้เราขอนำเสนอ "ตะขอแขวนเข็มขัด" (เรียกแบบนี้แหละ ก็มันเป็นตะขอที่เราต้องการเอามาใช้แขวนเข็มขัดนี่)  สาเหตุที่เราต้องทำเพราะว่า แม่ของเราคลั่งไคล้เข็มขัดมาก เราไม่รู้นะชาวบ้านเขาเก็บเข็มขัดกันยังไง แต่บ้านเราม้วนๆ แล้ววางไว้ในตู้เสื้อผ้า หรือพาดไว้ที่ใดที่หนึ่ง(สำหรับเส้นที่ใช้บ่อย)       อยู่ไปจำนวนมันเพิ่มขึ้น พื้นที่ในการเก็บก็ใช้มากขึ้น จึงเป็นที่มาของการสรรห

Eyeliner

เกริ่นเล็กน้อย เราเริ่มเขียนอายไลเนอร์ตอนเรียนมหาวิทยาลัยประมาณปลายปี 1 ขึ้นปี 2 ตอนนั้นเขียนได้ห่วยแตกมาก ปัจจุบันก็ยังห่วย แต่บางวันก็สวยเกินคาด ฮ่าๆๆ ตอนจบปี 1 พ่อแม่ไปรับกลับบ้าน (ปี 1 เราต้องอยู่หอ พอปี 2 ได้กลับเข้าเมืองกรุง) มีโอกาสแวะเดินห้างไม่รู้คิดยังไงอยากได้อายไลเนอร์ ในร้านมันก็มีหลายแบบนะ ทั้งหัวแบบปากกาเมจิก แบบดินสอ และแบบพู่กัน ไอ้เราก็เลือกไม่ถูก เคยใช้ดินสอแขกแล้วแพนด้ามาก เลยตัดแบบดินสอออกไป มาดูเจ้าเมจิก คิดว่าจะเขียนง่ายเลยซื้อมา ปรากฏว่า มันเขียนไม่ออก ลากเส้นได้ไม่กี่ครั้ง เขียนไม่ออกซะแล้ว ความเข้มความดำไม่ต้องพูดถึง ไม่ดำเลย ไม่ได้ใจฉันอย่างแรง สุดท้าย ตัดสินใจซื้อแบบพู่กันของ In2it สำหรับเรามันเยี่ยมมาก ไม่แพนด้าเลย แต่ช้าก่อน เนื้ออายไลเนอร์แห้งช้ามากๆ ต้องเอาหน้าไปเป่าพัดลม ปัจจุบันนี้ใช้วิธีจุ่มแล้วปาดเอา เหมือนกำลังจะทาเล็บ แล้วก็บรรจงเขียนลงบนขอบตา แรกเริ่มใช้สีดำ ต่อมาพัฒนาขึ้นซื้อสีน้ำตาล เพราะสีดำกรีดแล้วตาดุ พอมีรุ่นกิ๊บซี่ ที่มีสีเขียว น้ำเงิน ฯลฯ อะไรออกมา เราก็ซื้อมาสีนึง สีเขียว แต่ไม่ค่อยได้ใช้ เพราะขี้เกียจ (ไม่มีรูป

Wall Sticker

     ห่างหายไปจากบล็อกนี้นานมากๆ นานข้ามปี  สาเหตุที่ไม่ได้อัพ คงเพราะหน้าที่การงาน และสารพัดโซเชียลมีเดียที่เราลองเล่น ทั้ง facebook, Twitter, Instagram, G+ บลาๆๆๆๆ นี่แค่ตัวอย่าง ไม่รู้จะมีทำไมเยอะแยะ ทำให้ลืมบ้านน้อยหลังนี้เสียสิ้น วันดีคืนดีนึกครึ้มเปิดเข้ามาดู มาอัพหน่อยแล้วกัน      กลับมาอัพบล็อกคราวนี้เรายังคงวนเวียนอยู่กับการแต่งบ้าน(รก) ฮ่าๆๆๆ เพราะไปเดินเล่นสำเพ็ง สายตาดันเหลือบไปเห็น wall sticker ลวดลายน่ารักดึงดูดใจข้าน้อยยิ่งนัก สุดท้ายต้านทานกิเลสตัวเองไม่ไหว ควักเงินจ่ายไป 60 บาทกับ wall sticker สามลาย ลายที่ 1 ชอบเพราะมีกล้อง ที่สำคัญ nikon ด้วย อิชั้นหยิบมาโดยไม่คิดเลยค่ะ กลับมาบ้านสังเกตลายชัดๆ ก็ได้แต่บ่นตัวเอง นี่ตรูต้องมานั่งตัดขอบสีขาวออกอีกเหรอ เพราะอะไร อยากรู้มั้ย     เพราะผนังห้องนอนของเราไม่ได้เป็นสีขาว ซึ่งลายที่มีขอบสีขาวจะเหมาะกับผนังสีขาวมากกว่า เพราะติดแล้วเนียนไปกับสีผนัง (ความเห็นส่วนตัวนะจ๊ะ เราชอบของเราแบบนี้ เราคิดแบบนี้หละ) และถ้าผนังห้องของเราเป็นสีชมพู สีเขียว สีม่วง มันคงดูโดดๆ เด้งๆ นะ สงสัยต้องลองติดดูก่อน แล้วจะมาบอก ถ้าไม่ลืม ฮ่าๆๆๆๆๆๆ